- PROGRADE®
- คอเร็กซ์ (COREX) 14-0-0 Part-A
- เอลเด็กซ์ (ELDEX) 2-6-20 Part-B
- ฟลอเร็กซ์ (FLOREX) 0-12-26 Part-B
- ออโรร่า (AURORA) | PK+Amino เร่งการสร้างเนื้อดอก และผลผลิต
- ไมร่า อัพ (MIRA UP) | ค่า pH เพิ่มขึ้น คงที่นาน
- เทอร์ร่า (TERRA) | เร่งราก & เพิ่มการแตกตาดอก
- อ๊อกซี่ รูท (OXY ROOT) | ยับยั้งเชื้อรา และแบคทีเรียในน้ำ และพื้นผิว
- โฟล เฟด (FLO FADE) | ฟลัชล้างไนโตรเจน เพื่อผลผลิตที่สมบูรณ์แบบ
- ของที่ระลึก (Merchandise)
โลหะหนัก (Heavy Metals) ในผลผลิต ภัยเงียบที่ทุกคนต้องรู้ พร้อมแนวทางป้องกันครบทุกขั้นตอน

โลหะหนัก (Heavy Metals) ในผลผลิต ภัยเงียบที่ทุกคนต้องรู้ พร้อมแนวทางป้องกันครบทุกขั้นตอน
ในยุคที่ผลผลิตทางการเกษตรของไทย เช่น ทุเรียน มังคุด หรือผักส่งออก กำลังเติบโตและมีบทบาทสำคัญในตลาดโลก คำว่า “คุณภาพ” ไม่ใช่เพียงรสชาติ รูปลักษณ์ หรือความสดใหม่ แต่หมายรวมถึง “ความปลอดภัย” ที่ต้องมั่นใจได้ในทุกขั้นตอนของการผลิต โดยเฉพาะการปนเปื้อนจากโลหะหนักและสารเคมีต้องห้ามที่ยังพบได้บ่อยในระบบการผลิตหลายพื้นที่
กรณีล่าสุด เช่น การตรวจพบสาร BY2 Yellow ในทุเรียน ซึ่งสารตัวนี้ส่งผลต่อโลหะหนัก แคดเมียม(Cadmium) ที่สูงจากสีประเภท BY2 ที่อาจมาจากการปนเปื้อนของวัตถุดิบหรือการจัดการที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้การส่ง ผลต่อความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ
โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู และปรอท รวมถึงสารตกค้างทางการเกษตรที่ไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน อาจเข้าสู่ผลผลิตโดยที่ผู้ปลูกไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะผ่านน้ำ ปุ๋ย ดิน หรือการใช้สารเคมีที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และชื่อเสียงของประเทศในเวทีการค้าสากล
ต้นตอของโลหะหนัก (Heavy Metals) รู้ให้ลึก เพื่อป้องกันให้ได้ผลจริง
การเผชิญหน้ากับปัญหาโลหะหนัก (Heavy Metals) ในกระบวนการผลิตผลไม้และพืชเศรษฐกิจ เช่น ทุเรียน ลำไย หรือผักส่งออก ไม่ใช่เรื่องที่สามารถมองข้ามได้ เพราะการปนเปื้อนโลหะหนักไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลสะสมจากหลายแหล่ง เช่น ดิน น้ำ ปุ๋ย หรือแม้แต่ภาชนะและเครื่องมือในกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน
เมื่อโลหะหนักอย่างตะกั่ว แคดเมียม หรือสารหนูปนเปื้อนในดินหรือแหล่งน้ำแล้ว ก็สามารถดูดซึมเข้าสู่พืชได้โดยตรง ส่งผลต่อทั้งคุณภาพผลผลิต และสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาว อีกทั้งยังส่งผลต่อความสามารถในการส่งออก เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าหลายแห่งมีมาตรฐานการตรวจสอบสารตกค้างที่เข้มงวด
ดังนั้น ผู้ผลิตจำเป็นต้องเข้าใจถึงแหล่งต้นตอของการปนเปื้อนอย่างลึกซึ้ง และเลือกใช้วิธีป้องกันที่เหมาะสม เช่น การตรวจวิเคราะห์ดินและน้ำเป็นประจำ การเลือกใช้ปุ๋ยและสารปรับปรุงดินที่ปลอดภัย รวมถึงการควบคุมกระบวนการผลิตอย่างรัดกุม เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรของไทยมีความปลอดภัย และคงความเชื่อมั่นในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
1. ดินปลูก – ต้นเหตุอันดับหนึ่ง
- พื้นที่ที่เคยเป็นเขตอุตสาหกรรม หรือใกล้ถนนใหญ่ อาจมีตะกั่วสะสมจากควันรถหรือโรงงานมานานหลายสิบปี
- ดินที่ผ่านการทำเกษตรเคมีแบบเข้มข้น ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงหลายชนิดทิ้งแคดเมียมไว้ในดินโดยไม่มีทางล้างออกง่าย ๆ
แนวทาง : ก่อนเริ่มปลูกทุกครั้งควร “ตรวจวิเคราะห์ดิน” อย่างน้อยหนึ่งครั้ง และหากดินมีแนวโน้มปนเปื้อน ควรเปลี่ยนไปใช้ดินปลูกสำเร็จรูปหรือระบบไฮโดรโปนิกส์
2. น้ำที่ใช้รดพืช – มองไม่เห็น แต่แฝงภัย
- น้ำบาดาลในหลายพื้นที่ของไทย มีสารหนูปนเปื้อนจากชั้นหินธรรมชาติ
- น้ำจากคลองหรือแหล่งธรรมชาติที่ไหลผ่านเขตอุตสาหกรรม มักมีสารปนเปื้อนจำนวนมาก
แนวทาง : ติดตั้งระบบกรองน้ำระดับ Reverse Osmosis (RO) หรือตรวจน้ำที่ใช้รดต้นพืชเป็นประจำทุก 3-6 เดือน เพื่อความมั่นใจ
3. ปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน – สิ่งที่เลือกได้
- ปุ๋ยราคาถูกที่ไม่ได้ผ่านการรับรอง อาจใช้วัตถุดิบที่มีโลหะหนักเจือปน
- ปุ๋ยอินทรีย์ก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป หากผลิตจากขยะอินทรีย์ที่ไม่ได้แยกสารพิษ
แนวทาง : ใช้ปุ๋ยที่มีการทดสอบ Heavy Metal Certified และควรเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐานการผลิตในระดับสากล
4. กระบวนการหลังเก็บเกี่ยว – จุดเล็กที่มักถูกมองข้าม
- กรรไกรแต่งดอกที่ผลิตจากโลหะไม่ได้คุณภาพ อาจปล่อยโลหะออกสู่ช่อดอกขณะตัด
- เครื่องทริมหรือเครื่องตัดที่ไม่ได้ใช้วัสดุ Food Grade ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเสี่ยง
แนวทาง : เลือกใช้อุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) และทำความสะอาดก่อนใช้งานทุกครั้ง
การปนเปื้อนโลหะหนัก (Heavy Metals) อันตรายที่สะสมจากพืชสู่ผู้บริโภค
โลหะหนักไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่การเติบโตของพืชเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภคอย่างรุนแรง โดยเฉพาะหากโลหะหนักสะสมในผลผลิตที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม
ผลกระทบต่อพืช
- การสะสมโลหะหนักในรากพืชจะทำให้ระบบดูดซึมแร่ธาตุอื่น ๆ ลดลง ทำให้ต้นไม้ ไม่สามารถผลิตสารสำคัญได้เต็มที่ (สารสำคัญ ส่งผลต่อความเข้มข้นของผลผลิต)
- หากมีโลหะหนักตกค้าง จะทำให้เกิดการปนเปื้อนในผลผลิต และก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้
แนวทาง : ใช้ปุ๋ยที่มีการทดสอบ Heavy Metal Certified และควรเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐานการผลิตในระดับสากล
ผลกระทบต่อผู้บริโภค
ธาตุโลหะหนัก (Heavy Metal) | อันตรายที่เกิดขึ้น |
ตะกั่ว - Lead (Pb) | ทำลายระบบประสาท เสี่ยงความจำเสื่อมในระยะยาว |
แคดเมียม - Cadmium (Cd) | ทำลายไต เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมาก |
สารหนู - Arsenic (As) | สะสมในตับและผิวหนัง ก่อมะเร็งกระเพาะอาหาร |
ปรอท - Mercury (Hg) | รบกวนการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์และทำลายระบบสืบพันธุ์ |
หากปนเปื้อนแล้ว จะติดอยู่ในผลผลิตตลอดไป
มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล
ตารางแสดงค่ามาตรฐานโลหะหนักที่อนุญาตในผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรตามมาตรฐานยุโรป (EU)
(Heavy Metal Limits in Agricultural Products as Regulated by EU)
ธาตุโลหะหนัก (Heavy Metal) | ค่าจำกัดสูงสุดตาม EU (2019/1009) | หมายเหตุ (รายละเอียดตามข้อกำหนดของ EU) |
แคดเมียม - Cadmium (Cd) | ≤ 60 mg/kg P₂O₅ | ใช้เฉพาะกับปุ๋ยที่มีฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบหลัก (phosphate fertiliser) เนื่องจากฟอสเฟตธรรมชาติอาจมีการปนเปื้อนแคดเมียมสูง จึงมีการกำหนดค่าควบคุมเฉพาะ |
ตะกั่ว - Lead (Pb) | ≤ 120 mg/kg dry matter | ครอบคลุมวัสดุทุกประเภทในกลุ่ม PFCs (Plant Fertilising Products Components) เพื่อป้องกันการสะสมสารตะกั่วในพืชและสิ่งแวดล้อม |
ปรอท - Mercury (Hg) | ≤ 1 mg/kg dry matter | ครอบคลุมทั้งในรูปแบบผงและเม็ด เพื่อจำกัดความเสี่ยงจากการดูดซึมเข้าสู่พืชและการสะสมในระบบนิเวศ |
นิกเกิล - Nickel (Ni) | ≤ 100 mg/kg dry matter | แม้ไม่มีการใช้ในกระบวนการผลิตโดยตรง แต่นิกเกิลอาจปนเปื้อนจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ จึงกำหนดค่าควบคุมสูงสุดไว้เพื่อความปลอดภัย |
สารหนู - Arsenic (As) | ≤ 40 mg/kg dry matter | ใช้ค่าควบคุมเฉพาะสำหรับ “สารหนูอนินทรีย์” (Inorganic Arsenic) ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีความเป็นพิษสูงและมีแนวโน้มตกค้างในพืช |
โครเมียม - Chromium (Cr) | ≤ 2 mg/kg (เฉพาะ Cr(VI) ใน growing media) | ไม่มีการกำหนดค่ารวมของโครเมียมทั้งหมด (Total Cr) แต่มีการควบคุมเฉพาะโครเมียมวาเลนซ์หก (Cr(VI)) ที่มีพิษสูงในวัสดุปลูก (growing media) เท่านั้น |
โคบอลต์ - Cobalt (Co) | ไม่ได้กำหนดไว้ | ไม่อยู่ในบัญชีสารควบคุมหลักภายใต้ Regulation (EU) 2019/1009 จึงไม่มีการระบุค่าจำกัดอย่างเป็นทางกา |
แนวทางปฏิบัติเพื่อเกษตรแบบปลอดโลหะหนัก (Heavy Metals)
การเกษตรในปัจจุบันไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ผลผลิตที่สวยงามหรือปริมาณสูงเท่านั้น แต่ยังต้องใส่ใจเรื่อง “ความปลอดภัย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ การปนเปื้อนโลหะหนัก (Heavy Metals Contamination) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค รวมถึงอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดต่างประเทศ แนวทางต่อไปนี้เป็นหลักปฏิบัติที่ผู้ปลูกสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อวางระบบการผลิตที่ปลอดภัย สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนของโลหะหนักอย่างรอบด้าน1. วางระบบตั้งแต่ต้นทาง – เริ่มจากการเลือกแหล่งปลูกที่ปลอดภัย
การวางรากฐานที่ดีเริ่มจากการตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงของแหล่งปลูก โดยเฉพาะ “ดิน” และ “น้ำ” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดูดซึมโลหะของพืช
- ดำเนินการตรวจวิเคราะห์ดินและน้ำก่อนการปลูกทุกครั้ง โดยสามารถส่งตัวอย่างไปยังห้องแล็บที่ได้รับการรับรอง เพื่อประเมินค่าความเข้มข้นของโลหะ เช่น ตะกั่ว (Pb), แคดเมียม (Cd), สารหนู (As) และปรอท (Hg)
- เลือกใช้วัสดุปลูกที่ผ่านการทดสอบแล้ว เช่น ดินปลูกอินทรีย์ที่มีผลตรวจรับรองว่าไม่มีโลหะหนัก หรือวัสดุทดแทนดิน เช่น พีทมอส หรือโคโคพีท ที่ควบคุมแหล่งผลิตได้
- หากจำเป็นต้องปลูกในพื้นที่เสี่ยง ควรใช้ระบบปลูกแบบปิด เช่น ปลูกในกระถาง หรือ ใช้ระบบไฮโดรโปนิกส์ เพื่อเลี่ยงการดูดซึมโลหะจากดินโดยตรง
2. เลือกปุ๋ยและสารอาหารอย่างมีมาตรฐาน – ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
แม้ปุ๋ยจะเป็นแหล่งบำรุงพืช แต่หากไม่ได้มาตรฐานก็อาจกลายเป็นแหล่งสะสมของโลหะหนักได้เช่นกัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยหรือสารปรับปรุงดินที่ไม่มีฉลากชัดเจน หรือไม่แสดงแหล่งที่มา เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงในการปนเปื้อน
- เลือกใช้ปุ๋ยที่มีการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์จากแหล่งผลิตที่ได้รับมาตรฐาน GAP, GACP หรือปุ๋ยสูตรเฉพาะที่มีผลการทดสอบยืนยันว่าไม่มีการปนเปื้อนของโลหะ
- หมั่นตรวจสอบและเปรียบเทียบข้อมูลปุ๋ยก่อนการใช้งานทุกครั้ง และควรมีการสุ่มส่งตัวอย่างไปตรวจอย่างสม่ำเสมอในกรณีที่มีการใช้จำนวนมาก
3. ดูแลสภาพแวดล้อมการปลูกอย่างใกล้ชิด – เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก
- ควบคุมค่า pH ของดินให้อยู่ในช่วง 5.5 – 6.5 เนื่องจากค่าความเป็นกรดด่างของดินมีผลต่อความสามารถในการดูดซึมโลหะของพืช ค่า pH ที่เหมาะสมจะช่วยลดโอกาสที่พืชจะดูดโลหะหนักเข้าสู่ราก
- ปลูกในระบบโรงเรือนหรือโรงปลูกแบบปิด (Controlled Environment Agriculture) ซึ่งช่วยป้องกันการปนเปื้อนจากฝุ่นละออง แหล่งน้ำเสีย หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้
- ใช้ระบบกรองน้ำสะอาด หรือกรองโลหะหนักชนิดต่างๆ ก่อนรดพืช เพื่อป้องกันการนำโลหะเข้าสู่ระบบผ่านทางน้ำ
4. ตรวจสอบและบันทึกข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ – เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้
- จัดทำระบบ การจดบันทึกข้อมูลการเพาะปลูก (Cultivation Logbook) อย่างเป็นระบบ ครอบคลุมข้อมูลที่สำคัญ เช่น แหล่งที่มาของดิน ปุ๋ย น้ำ และวัสดุปลูก
- จัดเก็บผลการตรวจวิเคราะห์ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ทั้งจากการวิเคราะห์ก่อนการปลูก และการตรวจสอบผลผลิตก่อนจำหน่าย
- ผลผลิตตรวจวิเคราะห์ก่อนการจำหน่ายทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการปนเปื้อน และสามารถใช้เป็นหลักฐานทางการตลาดและกฎหมายในอนาคตได้
เทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์โลหะหนัก(Heavy Metals) องค์ความรู้พื้นฐานที่ผู้ปลูกควรเข้าใจ
การควบคุมคุณภาพผลผลิตให้ปลอดภัยจากสารโลหะหนัก จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำสูง โดยแต่ละวิธีมีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน การเลือกใช้วิธีใดจึงควรพิจารณาจาก งบประมาณ ความแม่นยำที่ต้องการ และวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบ
1. ICP-MS (Inductively Coupled Plasma – Mass Spectrometry)
เป็นเทคโนโลยีมาตรฐานระดับสูงสุดในการตรวจวิเคราะห์โลหะหนัก สามารถตรวจพบธาตุได้ในระดับ “ส่วนในพันล้าน (ppb)” ซึ่งมีความไวและแม่นยำอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับใช้ในงานวิจัย การผลิตเชิงอุตสาหกรรม และห้องแล็บที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกสำหรับวิเคราะห์ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อย่างครอบคลุมทุกธาตุ

2. AAS (Atomic Absorption Spectroscopy)
วิธีนี้ใช้หลักการดูดกลืนแสงของอะตอมโลหะ เหมาะสำหรับการตรวจหาโลหะหนักบางชนิด เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท หรือสารหนู ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ICP-MS จึงนิยมใช้ในห้องแล็บระดับกลาง หรือในกรณีที่ต้องการตรวจเฉพาะธาตุที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

3. XRF (X-ray Fluorescence)
เทคโนโลยีนี้มีจุดเด่นด้านความรวดเร็ว และสามารถใช้ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างได้โดยไม่ต้องเตรียมตัวอย่างซับซ้อน เหมาะกับการใช้งานภาคสนาม เช่น การคัดกรองเบื้องต้นในฟาร์ม หรือใช้ในจุดตรวจเพื่อประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำอาจต่ำกว่าวิธีอื่น จึงไม่เหมาะสำหรับการยืนยันผลอย่างเป็นทางการ

ความท้าทายของระบบปลูกในปัจจุบัน เมื่อมาตรฐานสูงขึ้น แต่ภาระต้นทุนก็เพิ่มตาม
แม้เทคโนโลยีการวิเคราะห์จะช่วยยกระดับความปลอดภัยของการเกษตรได้อย่างชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติ ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ผู้ปลูก โดยเฉพาะรายย่อย ต้องเผชิญอยู่เป็นประจำ
ต้นทุนในการตรวจวิเคราะห์ที่ค่อนข้างสูง
โดยเฉพาะหากใช้ ICP-MS หรือ AAS ที่ได้มาตรฐาน ราคาการทดสอบในประเทศไทยต่อ 1 ตัวอย่างอาจเริ่มต้นที่ 3,000 – 5,000 บาท ทำให้ผู้ผลิตขนาดเล็กไม่สามารถตรวจสอบได้บ่อยเท่าที่ควร
ดินในหลายพื้นที่มีการสะสมของโลหะหนักมาอย่างยาวนาน
จากการใช้ปุ๋ยเคมี สารปรับปรุงดิน หรือการตั้งอยู่ใกล้พื้นที่อุตสาหกรรม การฟื้นฟูดินเหล่านี้ต้องอาศัยเวลา การวางแผนระยะยาว และงบประมาณสนับสนุนที่เพียงพอ
ความรู้และการเข้าถึงข้อมูลยังจำกัดในบางกลุ่มเกษตรกร
ทำให้การจัดการเรื่องความปลอดภัยยังขาดความต่อเนื่อง และยังมีผู้ปลูกบางรายที่ไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายของโลหะหนักอย่างจริงจัง
เกษตรปลอดภัยเริ่มที่เรา สร้างมาตรฐานด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน
เพื่อสร้างระบบนิเวศเกษตรที่ปลอดภัยและยั่งยืน ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของผู้ปลูกเท่านั้น แต่ทุกภาคส่วนควรมีบทบาทอย่างเหมาะสม
ผู้บริโภค
- ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ
- ขอใบรับรองการตรวจสอบคุณภาพ (Certificate of Analysis - COA) ทุกครั้ง เพื่อยืนยันว่าไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตราย
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน หรือไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
ผู้ปลูก
- วางแผนการผลิตภายใต้มาตรฐาน GACP, GMP เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในทุกขั้นตอน
- ดำเนินการทดสอบคุณภาพของดินและน้ำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และควรตรวจผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยวทุกครั้งก่อนวางจำหน่าย
- จดบันทึกการใช้ปุ๋ย สารปรับปรุง และปัจจัยอื่น ๆ อย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนหลังหากพบปัญหา
ผู้ส่งออก
- ศึกษากฎหมายและเกณฑ์มาตรฐานของประเทศปลายทางอย่างละเอียด เนื่องจากแต่ละประเทศมีค่าควบคุมโลหะหนักแตกต่างกัน
- เตรียมเอกสารการตรวจวิเคราะห์ล่วงหน้า และจัดเก็บข้อมูลให้สามารถอ้างอิงได้ในทุก Shipment เพื่อป้องกันปัญหาการตีกลับหรือความเสียหายทางธุรกิจ
มั่นใจทุกการทดสอบโลหะหนักในผลผลิต ด้วยห้องแล็บที่ได้รับการรับรองทั้งในประเทศและระดับสากล
เพื่อช่วยให้ผู้ปลูกและผู้ผลิตสามารถตรวจสอบคุณภาพได้อย่างมั่นใจ
1.Central Lab Thai (ห้องปฏิบัติการกลางประเทศไทย)
ห้องปฏิบัติการกลางของประเทศ ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ให้บริการตรวจวิเคราะห์ผลผลิตทางการเกษตรทุกประเภท รวมถึงกัญชา ด้วยราคาที่เหมาะสม ครอบคลุมการตรวจสอบสารสำคัญและสารตกค้างในทุกหมวด หากต้องการตรวจสารเฉพาะทางอื่น ๆ สามารถติดต่อเพื่อจัดชุดวิเคราะห์เพิ่มเติมได้ตามความต้องการ
2. TISTR – สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์อื่น ๆ
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (ศนก.) หน่วยงานภาครัฐด้านวิทยาศาสตร์ที่มีห้องปฏิบัติการให้บริการตรวจวิเคราะห์สารตกค้างและโลหะหนักในพืชและผลผลิตทางการเกษตร กระจายอยู่ทั่วประเทศ พร้อมความสามารถในการรองรับคิวตรวจที่รวดเร็วและประหยัดเวลา เหมาะสำหรับเกษตรกรหรือผู้ประกอบการที่ต้องการตรวจสอบเบื้องต้นหรือวิเคราะห์ในระดับเชิงลึก
3. ห้องปฏิบัติการที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 หรือแล็บของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทย
ห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ถือเป็นแหล่งตรวจที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการผลวิเคราะห์ที่สามารถใช้รับรองในระบบการค้าส่งออก หากเป็นการวิเคราะห์ช่อดอกกัญชาโดยเฉพาะ ห้องแล็ปต้องมีใบอนุญาตเฉพาะสำหรับการตรวจสารเสพติด เนื่องจากกระบวนการสกัดที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์อาจเข้าข่ายการเปลี่ยนสถานะของวัตถุเป็นสารควบคุมในช่วงการทดสอบคิงเวล (KINGWHALE) ขอยกระดับมาตรฐานของผลผลิตให้ปลอดภัย เพื่ออนาคตของผู้บริโภค
ในยุคที่ความปลอดภัยของผู้บริโภคต้องมาก่อน คิงเวล (KINGWHALE) มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการผลิตการเกษตรอย่างครบวงจร ตั้งแต่การปลูกจนถึงกระบวนการแปรรูป ด้วยเป้าหมายชัดเจนในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ สะอาด ปลอดภัย และพร้อมแข่งขันในตลาดโลก
เราใส่ใจในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะการ ตรวจสอบโลหะหนักในทุกล็อตการผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง และเป็นมิตรต่อสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาว
- ทุกล็อตต้องผ่านการวิเคราะห์จากห้องแล็บมาตรฐาน
- ใช้เทคโนโลยีโรงปลูกแบบควบคุมสภาพแวดล้อม เพื่อควบคุมปัจจัยต่าง ๆ อย่างแม่นยำ
- ผลิตภัณฑ์ของ KING WHALE พร้อมตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศที่มีเกณฑ์เข้มงวด
คิงเวล (KINGWHALE) เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า “คุณภาพที่ดี เริ่มต้นจากความรับผิดชอบในทุกกระบวนการ” ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกวัตถุดิบ การควบคุมมาตรฐานการผลิต การตรวจสอบความปลอดภัยในทุกขั้นตอน รวมไปถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่สะอาดและได้มาตรฐานสู่มือผู้บริโภค
เราให้ความสำคัญกับทุกจุดเล็กๆ ที่อาจมีผลต่อคุณภาพของพืชเกษตรทุกชนิด ไม่เพียงเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีเท่านั้น แต่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมเกษตรไทยทั้งในประเทศและระดับสากล
คิงเวล (KINGWHALE) ขอเป็นหนึ่งแรงที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกษตรไทยให้เดินหน้าอย่างมั่นคง ด้วยแนวทางที่โปร่งใส ปลอดภัย และใส่ใจต่อผู้บริโภค ร่วมสร้างระบบนิเวศการผลิตที่แข็งแรง และวางรากฐานที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้บริโภค เพื่ออนาคตที่ทุกภาคส่วนสามารถเติบโตไปด้วยกันอย่างมีคุณภาพ